รีวิวและข้อมูลเชิงลึก
พอออกจากโรงเมื่อคืนนี้… ผมต้องยอมรับว่ามือยังสั่นอยู่เลยตอนพิมพ์รีวิวนี้ Wicked: For Good ไม่ได้เป็นแค่หนังภาคสองที่มาปิดเรื่อง แต่มันคือการจากลาที่โหดร้ายและงดงามไปพร้อมกันจนหัวใจเกือบแตก (จริงๆ นะ ไม่ได้พูดเล่น) ตอนเพลง “For Good” ขึ้น ผมนั่งอ้าปากค้างแล้วก็… ร้องไห้ หมดเลย ไม่ใช่แค่ประทับใจ แต่มันคือความรู้สึกว่างเปล่าที่ติดอยู่ในอกตั้งแต่ออกจากโรงจนถึงตอนนี้ นี่ไม่ใช่แค่การดูหนังมิวสิคัล แต่มันคือการไปสัมผัสปรากฏการณ์ทางอารมณ์ที่แฟนๆ รอคอยมาเกือบสิบปีเต็มๆ
พล็อตเรื่อง: ตอนที่ทางเลือกกลายเป็น “บิลที่ต้องจ่าย”
เรื่องเริ่มแบบไม่ชะลอตัวเลย หลังจาก “Defying Gravity” ในภาคแรก Elphaba (Cynthia Erivo) กลายเป็นแม่มดชั่วร้ายที่ทุกคนในออซต้องการจับ ขณะที่ Glinda (Ariana Grande) สวมมงกุฎ “ความดี” และกลายเป็นหุ่นเชิดของพ่อมดแห่งออซ (Jeff Goldblum) มิตรภาพของพวกเธอถูกแทงด้วยการเมืองที่โหดร้าย และพอโดโรธีในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้ามาถึง… ทุกอย่างก็พังทลายไปหมด
Jon M. Chu ผู้กำกับเคยพูดไว้ว่า “ภาคแรกคือเรื่องของทางเลือก ภาคสองคือเรื่องของผลลัพธ์” และโคตรจริงเลย พล็อตเรื่องนี้ไม่ได้เล่าต่อแบบไร้จุดหมาย แต่มันบีบคั้นให้ตัวละครทุกตัวต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่พวกเขาเลือกไว้ในภาคแรก ตอนไปดูหนังเต็มเรื่อง ผมรู้สึกเหมือนกำลังดูคนที่เรารักถูกบังคับให้กินผลของการกระทำตัวเอง… และมันเจ็บปวดสุดๆ

เคมีระหว่างนักแสดง: Cynthia และ Ariana แบกเรื่องไว้ได้สนิท
ถามว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะรอดได้ถ้าเคมีของนักแสดงนำไม่ดี? คำตอบคือ “ไม่มีทาง” แต่โชคดีที่ Cynthia Erivo และ Ariana Grande ทำได้เกินคาดหมายจนน่ากลัว
Cynthia ในบท Elphaba นี่ต้องยกให้เป็นการแสดงที่ ‘magnificent’ (ยิ่งใหญ่จนขนลุก) จริงๆ ตอนเพลง “No Good Deed” เธอร้องออกมาด้วยความโกรธและความเจ็บปวดที่ทำให้ทั้งโรงเงียบกริบ (แบบว่า… คนข้างๆ ผมสะอึกเลยนะ) และเพลงใหม่อย่าง “No Place Like Home” ที่เธอร่วมเขียนเองนี่… ทำให้เห็นว่า Elphaba ไม่ได้เป็นแค่นักสู้ แต่เธอคือคนที่รักดินแดนออซอย่างบริสุทธิ์ใจ แม้ว่าที่นั่นจะไม่เคยรักเธอกลับมา
Ariana Grande ในบท Glinda นี่ต้องบอกว่า… เกิดมาเพื่อบทนี้แน่นอน เธอถ่ายทอดการเติบโตของ Glinda จากคนที่หลงใหลในชื่อเสียง ไปสู่ “Glinda the Good” ที่ต้องเผชิญวิกฤตทางมโนธรรมได้แบบ ‘tour de force’ (การแสดงที่ต้องใช้ทักษะรอบด้าน) จริงๆ เพลง “Thank Goodness” แสดงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มสมบูรณ์แบบ และเพลงใหม่ “The Girl in the Bubble” ที่เธอร้องในฉากแต่งงาน… โคตรเจ็บปวดเลย การแสดงสีหน้าของอาริอาน่าตอนนั้นทำให้ผมอยากกอดเธอจริงๆ (ไม่ได้พูดเล่นนะเนี่ย)
นักแสดงสมทบอย่าง Jonathan Bailey (Fiyero), Michelle Yeoh (Madame Morrible) และ Jeff Goldblum ก็กลับมาครบ ทำหน้าที่ตัวเองได้ดีทุกคน (ถ้าจำไม่ผิดนะ Colman Domingo ที่พากย์เสียงสิงโตขี้ขลาดก็เจ๋งมากด้วย)
แต่การแสดงเหล่านี้คงไม่สมบูรณ์ถ้าขาดวิสัยทัศน์ของผู้กำกับที่รู้ว่าจะขยายเรื่องยังไง
วิสัยทัศน์ของ Jon M. Chu: ขยายแต่ไม่ทิ้งหัวใจเดิม
การเอาองก์ที่ 2 ของละครเวทีซึ่งรวดเร็วมาก มาขยายเป็นหนัง 2 ชั่วโมง 17 นาที ฟังดูเสี่ยงมาก แต่ Jon M. Chu ทำสำเร็จ เขาไม่ได้แค่ดัดแปลง แต่เขา “เพิ่มความ” ให้กับเรื่องราวได้ลงตัวสุดๆ
การตัดสินใจแบ่งหนังสองภาคพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง มันทำให้ Chu สามารถเล่าเรื่องได้ลึกและมีเซอร์ไพรส์มากขึ้น เห็นได้จาก:
- ฉากแต่งงานของ Glinda กับ Fiyero ไม่ใช่แค่ดราม่า แต่มันคือการจำลอง “กรงทอง” ที่ Glinda สร้างให้ตัวเองเป็นรูปธรรม… มันเจ็บปวดมากเพราะเธอเลือกชื่อเสียงแทนมิตรภาพที่แท้จริง
- การที่ Glinda ร้องเพลง “Wonderful” กับพ่อมด คือการตอกย้ำว่าเธอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างเต็มตัว มันทำให้ผลลัพธ์ที่เธอต้องเผชิญดูสมเหตุสมผลและน่าเศร้ามากขึ้น
- เรื่องราวของโดโรธีถูกนำเสนอให้มีนัยสำคัญมากขึ้น เธอคือ “ผลพวง” ที่จับต้องได้จากเกมการเมืองในออซ ทำให้ทั้ง Elphaba และ Glinda ต้องเผชิญผลกระทบในโลกจริง
แต่วิสัยทัศน์จะไม่สมบูรณ์ถ้าขาดงานสร้างที่ยิ่งใหญ่
งานสร้าง: เมื่อ Oz มีชีวิตจริงๆ บนจอ
ใครเคยสงสัยว่าโลกของ Oz จะเป็นยังไงถ้ามีจริง? หนังเรื่องนี้ตอบให้แล้ว
Jon M. Chu ยืนกรานใช้ “practical effects” ให้มากที่สุด เขาปลูกดอกทิวลิปเก้าล้านดอกสำหรับ Munchkinland จริงๆ สร้างถนนอิฐสีเหลืองขึ้นมาจริงๆ และยกกองไปถ่ายไกลถึงอังกฤษกับทะเลทรายในอียิปต์ (น่าจะประมาณนี้นะ) การออกแบบเครื่องแต่งกายโดย Paul Tazewell ที่เคยได้ออสการ์ก็เจ๋งมาก ชุดของ Elphaba ที่เปลี่ยนเป็นกางเกงสะท้อนความคล่องตัวและการขยายตัวตนในฐานะนักสู้ ส่วนชุดของ Glinda หรูหราขึ้นเพื่อแสดงสถานะในเมืองมรกต
เทคนิคพิเศษก็ไม่ได้พึ่ง CGI อย่างเดียว ตัวละครอย่าง Scarecrow และ Tin Man ใช้นักแสดงสวมเมคอัพจริงๆ ทำให้ดูจับต้องได้และไม่เฟค
งานสร้างทั้งหมดนี้ทำให้การนั่งดูเต็มเรื่องรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ใน Oz จริงๆ

เพลงประกอบ: เพลงเก่าที่รักกับเพลงใหม่ที่ทำให้ร้องไห้
เพลงของ Wicked คือจิตวิญญาณของเรื่อง การนำบทเพลงที่เป็นที่รักกลับมาพร้อมเพิ่มเพลงใหม่ถือเป็นความท้าทาย
เพลงคลาสสิกอย่าง “No Good Deed”, “As Long as You’re Mine” และ “For Good” ถูกตีความใหม่ได้ทรงพลังและเหมาะกับบริบทภาพยนตร์อย่างไร้ที่ติ แต่ที่น่าสนใจคือเพลงใหม่ที่ Stephen Schwartz แต่งขึ้นเฉพาะสำหรับหนัง:
- “No Place Like Home” (Elphaba): เพลงนี้แสดงว่า Elphaba รักออซมากแค่ไหน แม้ดินแดนนี้จะไม่เคยดีกับเธอ มันมอบแก่นทางอารมณ์ให้การต่อต้านของเธอ ไม่ใช่แค่ความโกรธ แต่คือความรักที่บาดเจ็บลึกซึ้ง
- “The Girl in the Bubble” (Glinda): เพลงนี้คือช่วงเวลาวิกฤตของ Glinda ที่ต้องเผชิญความจริงที่หนีมาตลอด มันคือวินาทีที่ฟองสบู่แห่งชื่อเสียงและอภิสิทธิ์แตกสลาย… (วงเล็บนอกเรื่องนิดนึง ส่วนตัวชอบเพลงใหม่ของ Glinda มากกว่าเลย มันจี๊ดดีจริงๆ)
จุดแข็ง vs. จุดที่ต้องพิจารณา
แม้หนังจะเจ๋ง แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกอย่าง มาดูกัน:
จุดแข็ง:
- การแสดงของ Cynthia และ Ariana คือระดับมาสเตอร์คลาส ทั้งเสียงและอารมณ์
- การขยายเรื่องช่วยเติมมิติให้ตัวละคร โดยเฉพาะ Glinda ที่มีความน่าเห็นใจมากขึ้น
- งานสร้างระดับมหากาพย์ ทำให้ออซดูยิ่งใหญ่และจับต้องได้
- บทสรุปที่ทรงพลังและสะเทือนอารมณ์ สมกับที่แฟนๆ รอมานาน
จุดที่ต้องพิจารณา:
- โทนเรื่องมืดมนและหนักกว่าภาคแรกมาก อาจไม่เหมาะกับคนที่คาดหวังความสดใสตลอด
- ความยาว 2 ชั่วโมง 17 นาที บางช่วงอาจเนิบไปหน่อยสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนละครเพลง
- การเปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับอาจทำให้แฟนละครเวทีที่ยึดติดรู้สึกขัดใจ
แต่ภาพรวมแล้ว มันยังคงเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าสุดๆ
สรุป… ไปดูหนังเลยดีไหม?
ฟันธงเลย Wicked: For Good คือบทสรุปที่สมศักดิ์ศรีจริงๆ ไม่ใช่แค่หนังภาคต่อ แต่มันคือปรากฏการณ์ที่ต้องจารึกไว้ในความทรงจำ แม้จะต้องเสียน้ำตาจนตาบวม แต่ก็คุ้มค่าทุกหยดเลย… นี่คือการปิดม่านเรื่องราวของสองแม่มดได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด สรุปสั้นๆ คือ “ต้องดู สถานเดียว”
คะแนน: 9.5/10



